บทความนี้เป็นบทความที่สืบเนื่องจากบทความเรื่อง “แพทย์กับ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่” ขอให้ผู้อ่านได้อ่านบทความเรื่องดังกล่าวก่อน สำหรับเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นผลมาจากมาตราที่ 5และ 6 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งมีใจความดังนี้
มาตรา5 หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
มาตรา6 ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้
จากมาตราดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าในกรณีที่แพทย์ที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยแล้วหากเป็นการทำละเมิดต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยก็ไม่สามารถฟ้องแพทย์ให้รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง หากจะฟ้องต้องฟ้องหน่วยงานที่แพทย์ผู้นั้นสังกัดอยู่
แต่ในทางปฏิบัติ มาตรา5 ดังกล่าวมีเงื่อนไขในการคุ้มครองแพทย์ที่เราควรทราบดังนี้
1.แพทย์ผู้นั้นจะต้องเป็น “เจ้าหน้าที่ ” ซึ่งใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ให้นิยามไว้ว่า หมายถึงข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่นไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือในฐานะอื่นใด จากความหมายข้างต้น แพทย์ที่เป็นข้าราชการก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ ดังนั้นหากกระทำตามหน้าที่แล้วก็ย่อมได้รับความคุ้มครอง
2.มีการกระทำละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลักเกณฑ์ของการกระทำละเมิดต้องยึดถือตามของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ดังต่อไปนี้
- ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
- กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย
- บุคคลอื่นได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างใด
อย่าง หนึ่ง
- มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ
หมายเหตุ : สามารถอ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้ในบทความเรื่อง “หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามป.พ.พ.มาตรา420” (code 019)
3.เป็นการทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ เงื่อนไขในข้อนี้มีความสำคัญอย่างมากเพราะหากการกระทำที่เป็นละเมิดนั้นไม่ได้ทำในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้เสียหายก็สามารถฟ้องให้แพทย์ใช้สินไหมทดแทนได้โดยตรง ปัญหาจึงมีอยู่ว่าการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่มีขอบเขตครอบคลุมแค่ไหน ในเรื่องนี้ได้มีแนวคำพิพากษาฎีกาวางหลักไว้ว่า การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้จำกัดเฉพาะกรณีที่กระทำตามอำนาจหน้าที่ของตนในระหว่างเวลาทำการของตนเท่านั้นแต่กินความถึงกรณีที่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาเพื่อประโยชน์ของราชการแม้ว่าจะไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะในเรื่องนั้นและแม้ว่าจะทำหน้าที่ดังกล่าวนอกเวลาราชการ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าในง่ายขึ้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาดังนี้
ฎีกาที่1811-1812/2516 เรื่องมีอยู่ว่านายทหารผู้หนึ่ง ปกติไม่มีหน้าที่ขับรถแต่วันหนึ่งได้ถูกผู้บังคับบัญชาใช้ให้เอารถยนต์ที่ใช้ในกิจการทหารไปล้างที่ปั๊มน้ำมันเมื่อล้างรถเสร็จระหว่างขับรถกลับได้ขับรถแวะไปเอาของที่บ้านพี่สาวของตน ระหว่างทางนั้นได้ขับรถไปชนรถบรรทุกนักเรียนจนมีผู้เสียชีวิต ในเรื่องนี้ศาลได้วินิจฉัยว่าแม้จำเลยไม่ได้มีหน้าที่ขับรถ แต่การนำรถไปล้างโดยคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ดังกล่าวถือว่าเป็นการทำในกิจการทหาร .......
ข้อสังเกต แม้ฎีกาข้างต้นจะไม่ได้วินิจฉัยไว้โดยตรงว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เพราะขณะนั้นยังไม่ได้มี พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539ออกมาใช้บังคับแต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าศาลมีแนวคิดว่า แม้เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีหน้าที่นั้นโดยตรง แต่หากได้กระทำไปโดยคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐ ก็ถือว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว
กรณีอื่นๆที่ถือว่าเป็นการทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น บุรุษไปรษณีย์ขับรถไปส่งจดหมายแล้วชนคนอื่นโดยประมาทเลินเล่อ พนักงานสอบสวนทำร้ายผู้ต้องหาเพื่อให้รับสารภาพ ตำรวจเห็นคนจอดรถยนต์บนทางเท้าจึงขอดูใบขับขี่ ตำรวจคนดังกล่าวแย่งปืนและทำร้ายเจ้าของรถ ถือว่าทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
สำหรับกรณีที่แพทย์ทำหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยแล้วเกิดทำละเมิดต่อผู้ป่วยนั้น มีข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่าถือเป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
กรณีตัวอย่างที่ถือว่าไม่ใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เช่นจำเลยเป็นบุรุษไปรษณีย์จอดรถเก็บจดหมายตามตู้ไปรษณีย์ ตำรวจจราจรสั่งให้จอดรถให้ถูกที่ จำเลยด่าและทำร้ายร่างกายตำรวจ การด่าและขัดขวางการจับกุมเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับกรมไปรษณีย์ กรมไปรษณีย์ไม่ต้องรับผิด กรณีที่แพทย์ตรวจรักษาผู้ป่วยแล้วเกิดไปทำร้ายร่างกายผู้ป่วย เช่น ชกต่อยหรือทำการข่มขืนผู้ป่วย ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่
ปัญหาน่าคิด
ถาม: กรณีแพทย์ที่ไม่ใช่แพทย์ที่อยู่ประจำในรพ.มารับตรวจผู้ป่วยหรืออยู่เวรในลักษณะ part-time เองโดยไม่ใช่การส่งตัวมาช่วยราชการ หากแพทย์คนดังกล่าวทำการตรวจรักษาแล้วเกิดทำละเมิดต่อผู้ป่วย ผู้เสียหายต้องฟ้องแพทย์หรือฟ้องหน่วยงานของรัฐ
ตอบ: ปัญหาที่ต้องพิจารณาคือกรณีดังกล่าวถือว่าแพทย์ผู้นั้นเป็น “เจ้าหน้าที่” ตามนิยามของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หรือไม่ กรณีดังกล่าวยังไม่เคยมีการวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้ แต่ก็มีกรณีที่อาจจะพอเทียบเคียงกันได้ ดังนี้ เคยมีปัญหาว่าลูกจ้างที่รับงานเป็นครั้งคราวของ ร.ส.พ.ตามสัญญาจ้างแรงงาน ถือเป็นเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หรือไม่ จึงมีการส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ลูกจ้างเข้าข่ายเป็น “เจ้าหน้าที่ ”ต้องได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานเป็นประจำต่อเนื่องมีการกำหนดอัตราเงินเดือน การเลื่อนขั้นเงินเดือน การลงโทษทางวินัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แต่ลูกจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ว่าจ้างให้ปฏิบัติงานในลักษณะเป็นครั้งคราวเฉพาะงาน ไม่ว่าจะมีสัญญาจ้างหรือไม่ก็ตาม ไม่ได้มีการบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงาน ลูกจ้างดังกล่าวไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หากทำงานตามที่จ้างแล้วเกิดทำละเมิด ความรับผิดก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลงสัญญาจ้างและต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ ( ข้อสังเกต: ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ถือว่าเป็นคำวินิจฉัยของศาล จึงไม่ผูกมัดว่าศาลจะต้องเห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าว เพราะฉะนั้นหากกรณีดังกล่าวมีข้อพิพาทกันถึงชั้นศาล ศาลก็อาจมีความเห็นแตกต่างจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้ แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ศาลจะมีความเห็นตรงกันกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา)
กรณีตามปัญหาผู้เขียนเห็นว่าแพทย์ที่รับงานในลักษณะ part-timeในรพ.ของรัฐ ไม่น่าจะถือเป็นเจ้าหน้าที่ แพทย์คนดังกล่าวจึงไม่ถูกคุ้มครองตามมาตรา5 ของพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ดังนั้นหากทำละเมิดต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยก็สามารถฟ้องให้แพทย์ผู้นั้นใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง และฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้ (อ่านมาตรา6ประกอบ)
ถาม: แพทย์ที่ไม่ได้ถูกบรรจุเป็นข้าราชการแต่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็น “พนักงานของรัฐ” จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา5 ของพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539หรือไม่
ตอบ: แม้ไม่ได้มีฐานะเป็นข้าราชการแต่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งไม่ว่าจะในฐานะ พนักงานของรัฐ หรือลูกจ้าง ซึ่งปฏิบัติงานเป็นประจำและต่อเนื่อง มีอัตราเงินเดือน ขั้นเงินเดือน มีการลงโทษทางวินัยหากทำผิด ก็น่าจะเข้าข่ายเป็น เจ้าหน้าที่ ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 แล้วซึ่งหากกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้เสียหายไม่สามารถฟ้องแพทย์ให้ใช้ค่าสินไหมได้ ต้องเรียกร้องจากหน่วยงานรัฐแทน
สรุป
กรณีที่แพทย์ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐได้ทำการปฏิบัติหน้าที่โดยทำการตรวจรักษาผู้ป่วย หากเกิดความเสียหายต่อผู้ป่วยซึ่งเป็นผลมาจากการตรวจรักษา ผู้เสียหายไม่สามารถฟ้องให้แพทย์รับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง ถ้าจะฟ้องต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐที่แพทย์ผู้นั้นสังกัดอยู่ หากผู้เสียหายฟ้องแพทย์โดยตรง แพทย์ก็สามารถยกมาตรา5 ขึ้นตัดฟ้องและขอให้ศาลยกฟ้องได้ แต่หากแพทย์ผู้นั้นไม่ได้ทำในการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ เขาก็ต้องรับผิดในผลจากการที่ตนทำละเมิดเป็นการส่วนตัว ผู้เสียหายฟ้องแพทย์ให้รับผิดได้โดยตรงแต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้
อนึ่งกฎหมายดังกล่าวไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายในการฟ้องแพทย์เป็นจำเลยในคดีอาญา หรือใช้สิทธิในการร้องเรียนต่อแพทยสภา
นพ.พิทูร ธรรมธรานนท์
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย www.medlawstory.com
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย www.medlawstory.com