หน้าเว็บ

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

แพทย์-โรงพยาบาล....ความสัมพันธ์และความรับผิดในคดีละเมิด

มีปัญหาที่สงสัยกันว่า เมื่อแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลทำละเมิดต่อผู้ป่วยอันเป็นผลมาจากการดูแลรักษาแล้ว ทางโรงพยาบาลต้องมีความรับผิดชอบหรือไม่อย่างไร การที่จะตอบคำถามดังกล่าวได้ ต้องมีความรู้หลักของกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับโรงพยาบาลอีกทั้งต้องมีความรู้หลักกฎหมายเรื่องละเมิดที่ได้ถูกบัญญัติไว้ทั้งในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) และในพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ

ผู้เขียนขอแบ่งลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และโรงพยาบาลได้ดังต่อไปนี้

1.ข้าราชการ/พนักงานของรัฐกับโรงพยาบาลของรัฐ ไม่มีฐานะเป็นลูกจ้าง-นายจ้าง และไม่ใช่เรื่องตัวการ-ตัวแทน(ฎีกาที่ 769/2505)เพราะความสัมพันธ์เป็นไปตามกฎหมายเฉพาะไม่ใช่ความสัมพันธ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ในเรื่องความรับผิดต้องเป็นไปตามหลักของพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ ที่วางหลักไว้ว่าเมื่อแพทย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ ฝ่ายผู้เสียหายไม่สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแพทย์ได้โดยตรง แต่มีทางเลือกสองทาง ทางแรกคือยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานที่แพทย์ผู้นั้นสังกัดอยู่ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน เช่นหากแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขผู้เสียหายก็ต้องเรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงสาธารณสุข กับ ทางที่สองคือฟ้องต่อศาลเป็นคดีละเมิดเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากหน่วยงานที่แพทย์ผู้นั้นสังกัดอยู่ ซึ่งหากแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขผู้เสียหายก็ต้องฟ้องกระทรวงสาธารณสุขเป็นจำเลย อ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้ในบทความเรื่อง “ฟ้องหมอไม่ได้แล้วจะฟ้องใคร ”

ข้อสังเกต : ปกติแล้ว โรงพยาบาลของรัฐนั้น ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล(ยกเว้นกรณีของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว) จึงไม่ถือเป็นหน่วยงานของรัฐตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ ผู้เสียหายจึงไม่สามารถเรียกร้องหรือฟ้องโรงพยาบาลได้โดยตรง

2.แพทย์ที่เป็นลูกจ้างของโรงพยาบาลเอกชน/คลินิก ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้มีน้อย ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ GP โดยมีเวลาการทำงานที่แน่นอนแล้วแต่นายจ้างจะกำหนดเวลาในการทำงานให้และมีรายได้ประจำที่แน่นอน เช่น กินเงินเดือนประจำ สำหรับเรื่องความรับผิด หากแพทย์ที่เป็นลูกจ้างทำละเมิดในทางการที่จ้าง(ซึ่งก็คือทำละเมิดในการดูแลรักษาผู้ป่วย) นายจ้าง (โรงพยาบาลเอกชน/ คลินิก) ต้องร่วมรับผิดด้วยตามหลักที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 425 ที่ว่า “นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น” แต่หากทางโรงพยาบาลได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วกฎหมายก็ให้สิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาคืนจากลูกจ้างได้ เพราะ ป.พ.พ. มาตรา 426 บัญญัติไว้ว่า “นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น” โดยมีหลักว่านายจ้างใช้ให้ผู้เสียหายไปเท่าไหร่ ก็สามารถไล่เบี้ยเอาจากลูกจ้างได้เต็มจำนวนเลย

ข้อสังเกต : หากแพทย์ทำนอกเหนือจากงานที่ได้รับมอบหมายหรือที่ภาษากฎหมายเรียกว่า ทำนอกทางการที่จ้างแล้ว เกิดการละเมิดขึ้น นายจ้างก็ไม่ต้องรับผิด เช่นจ้างแพทย์ให้ตรวจรักษาผู้ป่วย แต่แพทย์ไปชกหน้าผู้ป่วย กรณีอย่างนี้ถือว่าแพทย์ทำนอกเหนือขอบเขตงานที่จ้าง ทางโรงพยาบาลไม่ต้องรับผิด

3.แพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลเอกชนโดยมีการทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์จากเงินที่ผู้ป่วยจ่ายให้ เช่น เป็นในลักษณะที่แพทย์คิด DFจากผู้ป่วยแล้วแบ่งบางส่วนให้กับทางโรงพยาบาล กรณีนี้แพทย์ไม่มีฐานะเป็นลูกจ้าง ดังนั้นจึงไม่เข้าข้อก่อนหน้านี้ คือโรงพยาบาลไม่ต้องรับผิดในฐานะนายจ้าง แต่ต้องใช้หลักกฎหมายเรื่องตัวการตัวแทน คือ ถือว่าแพทย์เป็นตัวแทนของโรงพยาบาลในการให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วย และ ถือว่าโรงพยาบาลเป็นตัวการ ดังนั้นหากแพทย์ทำละเมิดในการดูแลรักษาโรงพยาบาล(เอกชน)ก็ต้องร่วมรับผิดด้วยตามหลักการใน ป.พ.พ. มาตรา427 ที่บัญญัติให้นำมาตรา 425 และ 426 มาใช้กับเรื่องตัวการตัวแทนด้วย ก็มีความหมายว่า ตัวการต้องร่วมรับผิด กับตัวแทนในผลแห่งละเมิดจากการที่ตัวแทนได้กระทำไปกิจการที่ตัวการได้มอบหมายให้ทำ และหากตัวการได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายไปแล้วก็สามารถไล่เบี้ยเอากับตัวแทนได้

ข้อสังเกต

ตัวการ หมายถึง บุคคลที่ได้มอบหมายให้อีกบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่า ตัวแทนไปทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ อนึ่งการตั้งตัวแทนไม่จำเป็นต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ คืออาจแต่ตั้งโดยพฤติการณ์หรือตั้งโดยปริยายก็ได้

หากตัวแทนทำการนอกเหนือขอบเขตอำนาจที่ได้รับมอบหมายแล้วเกิดไปละเมิดคนอื่น โดยปกติแล้วตัวการไม่ต้องร่วมรับผิด เช่น ตัวการมอบอำนาจให้เป็นตัวแทนในการทำสัญญาซื้อขายที่ดินที่สำนักงานที่ดิน ขอบอำนาจของตัวแทนก็มีเฉพาะเรื่องการทำสัญญา ตัวแทนจะไปสำนักงานที่ดินอย่างไรก็เป็นเรื่องของตัวแทน การที่ตัวแทนขับรถไปสำนักงานที่ดินไม่ใช่กิจการที่ได้รับมอบหมาย หากระหว่างทางตัวแทนขับรถชนคนโดยประมาท ตัวการก็ไม่ต้องรับผิด เช่นเดียวกับกรณีที่ยกตัวอย่างไปแล้วเรื่องการชกผู้ป่วย ก็ต้องถือเป็นการทำนอกเหนือขอบเขตการเป็นตัวแทน ดังนั้นโรงพยาบาลก็ไม่ต้องรับผิด

4.แพทย์ที่รับอยู่เวรหรือรับตรวจเป็นช่วงเวลาซึ่งมีค่าตอบแทนเหมาจ่ายให้แน่นอน การทำงานในลักษณะนี้ ไม่ใช่การจ้างแรงงาน แต่อาจเข้าข่ายเป็นการรับจ้างทำของ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ว่าจ้างซึ่งก็คือสถานพยาบาลไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการทำละเมิดซึ่งผู้รับจ้างได้ก่อขึ้น แต่ศาลอาจเห็นว่าเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะตัวการ- ตัวแทนด้วยทำให้ผู้ว่าจ้างต้องร่วมรับผิดตามหลักของ ป.พ.พ. มาตรา427ที่ได้กล่าวไว้ในหัวข้อก่อนหน้านี้แล้ว

5.แพทย์เปิดคลินิก ผู้ป่วยมาตรวจที่คลินิกแต่แพทย์มาขอใช้สถานที่ของโรงพยาบาลในการทำหัตถการ เช่น มาขอใช้ห้องผ่าตัด โดยทางโรงพยาบาลคิดค่าบริการในส่วนนั้นจากผู้ป่วย กรณีนี้ไม่ถือว่าแพทย์เป็นลูกจ้าง ไม่ใช่เรื่องการจ้างทำของและไม่ใช่เรื่องตัวการ-ตัวแทน ดังฎีกาที่256/2542 ซึ่งเป็นเรื่องที่ ผู้เสียหาย(โจทก์)ติดต่อรักษากับแพทย์(จำเลยที่1)โดยตรงที่คลินิกและได้ตกลงเข้าผ่าตัดในโรงพยาบาล(จำเลยที่2) โดยแพทย์คนดังกล่าวเป็นผู้ผ่าตัดให้ ผู้เสียหายได้จ่ายเงินให้โรงพยาบาลด้วย ปรากฏว่าแพทย์(จำเลยที่1)ผ่าตัดผิดพลาดละเมิดต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยจึงฟ้องแพทย์เป็นจำเลยที่1 และฟ้องโรงพยาบาลเป็นจำเลยที่ 2 ให้รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่1 ทำละเมิดต่อผู้ป่วย แต่จำเลยที่2โรงพยาบาล)ไม่ต้องรับผิด เพราะฟังไม่ได้ว่าเป็นนายจ้างหรือตัวการ ในมุมมองของผู้เขียนเห็นว่าที่ศาลวินิจฉัยเช่นนั้นก็เพราะในกรณีนี้ผู้ป่วยมีเจตนาที่จะรักษากับแพทย์เป็นการเฉพาะเจาะจงไม่ได้มีเจตนาที่จะมาใช้บริการของโรงพยาบาลเป็นการเฉพาะเจาะจง การที่ต้องมาใช้บริการที่โรงพยาบาลก็เพราะต้องทำตามที่แพทย์ประสงค์ แพทย์จึงไม่ใช่ตัวแทนของโรงพยาบาล ซึ่งแตกต่างจากกรณีในข้อ3 ที่ผู้ป่วยมีความต้องการที่จะมาใช้บริการรักษาพยาบาลของทางโรงพยาบาลเป็นการเฉพาะเจาะจง โรงพยาบาลจึงมีหน้าที่ต้องคัดสรรแพทย์ที่มีความสามารถเป็นตัวแทนในการให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วย



ข้อควรรู้เกี่ยวกับเรื่องการจ้างแรงงาน- การจ้างทำของ

ที่ต้องมีการแยกความสัมพันธ์ทั้งสองแบบนี้ออกมาเพราะมีความแตกต่างในทางกฎหมายหลายประการที่สำคัญคือหากมีลักษณะที่เข้าข่ายการจ้างทำของแล้วกฎหมาย (ป.พ.พ. มาตรา 428) บัญญัติไว้ว่า ผู้ว่าจ้างไม่ต้องร่วมรับผิดหากผู้รับจ้างทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก แม้ได้ทำไปในงานที่เกี่ยวกับรับจ้างนั้น (แต่ก็มีกรณียกเว้นที่ผู้ว่าจ้างต้องร่วมรับผิดด้วยซึ่งผู้เขียนขอไม่กล่าวในที่นี้) ผู้เขียนขอสรุปและเปรียบเทียบลักษณะการจ้างทั้งสองแบบไว้พอสังเขปดังนี้

การจ้างทำของคือการที่ผู้ว่าจ้าง จ้างให้ผู้รับจ้าง ทำงานให้โดยมุ่งในเรื่องผลของงาน ไม่ได้สนใจเรื่องวิธีการทำงาน เช่น การว่าจ้างให้จิตรกรวาดรูปให้ การจ้างให้ตัดเสื้อผ้า จ้างให้ซ่อมรถ การจ้างแท็กซี่ ให้ไปส่งที่จุดหมายปลายทางที่เรากำหนด

กรณีจ้างแรงงาน นายจ้างมีอำนาจควบคุมบังคับบัญชาลูกจ้าง แต่การจ้างทำของนั้นผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจบังคับบัญชาผู้รับจ้าง เช่นจ้างให้เขาวาดรูปให้ ผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับให้ผู้รับจ้างทำงานตอนไหน ผู้รับจ้างจะทำงานตอนไหนและจะใช้วิธีการทำงานอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ขออย่างเดียวคือผลงานต้องออกมาตามที่ได้ตกลงกันไว้และทันเวลา



ปัญหาน่าคิด

กรณีการจ้างแพทย์ในโรงพยาบาลภาคเอกชนในบางกรณี อาจมีข้อถกเถียงว่าจะเข้าข่ายเป็นสัญญาประเภทใด ซึ่งบางครั้งก็วินิจฉัยยากเพราะมีความซับซ้อนกำกวมอยู่ในบางกรณี ซึ่งคงต้องรอให้มีคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อวางแนวการวินิจฉัยต่อไป แต่ผู้เขียนมีความเห็นว่าในกรณีของแพทย์ที่มาปฏิบัติงานให้สถานพยาบาลในภาคเอกชน ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ของการจ้างในแบบใด จะเป็นการจ้างแรงงานหรือจ้างทำของหรือเป็นการแบ่งผลประโยชน์กัน ก็มักจะมีความสัมพันธ์ในลักษณะตัวการ-ตัวแทนร่วมอยู่ด้วยเสมอ (มีข้อยกเว้นบ้าง เช่น กรณีที่ผู้ป่วยไปหาแพทย์ที่คลินิกแล้วแพทย์นำผู้ป่วยมาใช้บริการห้องผ่าตัดของโรงพยาบาลโดยแพทย์ผู้นั้นเป็นผู้ทำการผ่าตัดให้) ดังนั้นหากแพทย์ทำละเมิดในการดูแลรักษาผู้ป่วย ทางสถานพยาบาลก็ต้องร่วมรับผิดด้วย เรื่องนี้เทียบเคียงได้กับ คำพิพากษาฎีกาที่ 4223/2542 เป็นเรื่องที่ห้างสรรพสินค้าได้ว่าจ้าง (จ้างทำของ) ให้บริษัทรักษาความปลอดภัยมาดูแลรถยนต์ของลูกค้าที่จอดในลานจอดรถของห้าง แต่ปรากฏว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัย(ไม่ใช่พนักงานของห้าง) ไม่ยอมตรวจบัตรผ่านเข้าออกโดยเคร่งครัด รถของลูกค้าจึงถูกลักขโมยไป ผู้เสียหายจึงมาฟ้องเรียกค่าเสียหายเอากับห้างฯ และบริษัทรักษาความปลอดภัย ถ้าว่ากันตรงๆตามกฎหมาย ความสัมพันธ์ของห้างฯกับบริษัทรักษาความปลอดภัยเป็นเรื่องของการจ้างทำของไม่ใช่การจ้างแรงงาน แต่ความสัมพันธ์ของยามหรือรปภ.กับบริษัทรักษาความปลอดภัยเป็นเรื่องของการจ้างแรงงานดังนั้นหากลูกจ้าง(รปภ)ทำละเมิดในทางการที่จ้าง นายจ้าง(บริษัทฯ)ก็ต้องร่วมรับผิด และเมื่อห้างฯเป็นเพียงผู้จ้างทำของ โดยปกติก็ไม่ต้องร่วมรับผิดในกรณีที่ผู้รับจ้างทำละเมิด แต่คดีนี้ศาลได้พิพากษาให้ห้างต้องร่วมรับผิดด้วยโดยศาลเอาเรื่องตัวการ- ตัวแทนมาใช้กับกรณีนี้ โดยถือว่าห้างฯได้มอบหมายให้บริษัทฯเป็นตัวแทนของห้างในการดูแลความปลอดภัยของรถลูกค้า





นพ.พิทูร ธรรมธรานนท์
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย
www.medlawstory.com

ศพกับสิทธิยึดหน่วง

คงมีหลายคนสงสัยว่า กรณีผู้ป่วยมารักษากับทางโรงพยาบาลแล้วสุดท้ายถึงแก่ความตายโดยยังไม่มีการชำระค่ารักษาพยาบาล เมื่อญาติมาขอรับศพเพื่อนำไปบำเพ็ญกุศลโดยไม่ได้ชำระค่ารักษาพยาบาลให้ครบถ้วน ทางโรงพยาบาลจะยึดหน่วงศพไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ค่ารักษาพยาบาลจนครบถ้วนได้หรือไม่ ก่อนตอบปัญหานี้ขอทำความเข้าใจเรื่องสิทธิยึดหน่วง ซึ่งได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมาตรา 241 บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นผู้ครองทรัพย์ของผู้อื่นและมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่ตนเกี่ยวด้วยทรัพย์สินซึ่งครองนั้นไซร้ ท่านว่าผู้นั้นจะยึดหน่วงทรัพย์สินนั้นไว้จนกว่าจะได้ชำระหนี้ก็ได้ ............” ตัวอย่างเช่น นายแดงนำนาฬิกาไปให้นายขาวซ่อม นายขาวซ่อมเสร็จจนใช้การได้ดี นายแดงไม่ยอมชำระค่าจ้าง นายขาวจึงมีสิทธิยึดหน่วงนาฬิกาเรือนนั้นไว้ได้จนกว่าจะได้รับค่าจ้างจากนายขาว

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อหลายปีก่อนมีอยู่ว่า หญิงคนหนึ่งเป็นคนต่างจังหวัดแต่มาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ วันหนึ่งถูกรถชนอาการสาหัส พลเมืองดีจึงนำส่งโรงพยาบาลเอกชน รักษาอยู่สองวันก็เสียชีวิต แม่ของผู้ตายซึ่งอยู่ต่างจังหวัดรู้ข่าวจึงมาขอรับศพจากโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลทวงเงินค่ารักษาพยาบาล แม่ของผู้ตายไม่มีให้เพราะมีฐานะยากจน โรงพยาบาลจึงไม่ยอมมอบศพให้ จึงเกิดปัญหาว่าโรงพยาบาลสามารถอ้างสิทธิยึดหน่วงในกรณีนี้ได้หรือไม่ ท่านอาจารย์เพ็ง เพ็งนิติ ซึ่งเป็นผู้บรรยายวิชาละเมิด ที่สำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภาให้ความเห็นว่า ค่าจ้างการรักษาพยาบาลเป็นหนี้ที่เกิดในขณะที่ผู้ตายยังมีสภาพบุคคล ( ยังไม่มีสภาพเป็นทรัพย์สิน) โรงพยาบาลย่อมไม่สามารถอ้างสิทธิยึดหน่วงในกรณีนี้ได้ สรุปก็คือ “หนี้ค่ารักษาพยาบาลคน เจ้าหนี้อ้างสิทธิยึดหน่วงไม่ได้” หากไม่มอบศพให้ญาติเขาไปบำเพ็ญกุศล ก็ถือเป็นละเมิด

ก็มีผู้สงสัยถามต่อไปอีกว่า แล้วหากหนี้นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ถึงแก่ความตายแล้ว จะสามารถใช้สิทธิยึดหน่วงได้หรือไม่ เช่น สมมติว่า แม่มาขอรับศพลูกแต่ เห็นว่าศพไม่สวย จึงจ้างทางโรงพยาบาลให้ช่วยแต่งศพ (เสริมสวย) ให้ แต่สุดท้ายไม่ยอมจ่ายค่าแต่งศพ อย่างนี้ทางโรงพยาบาลจะสามารถอ้างสิทธิยึดหน่วงศพได้หรือไม่ อาจารย์ เพ็ง กล่าวว่า ยังมีปัญหาถกเถียงกันอยู่ว่าศพเป็นทรัพย์สินหรือไม่ แต่ถึงแม้ว่าจะถือว่าศพเป็นทรัพย์สิน การที่ไม่มอบศพให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศล ก็น่าจะเป็นการขัดความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะขัดความรู้สึกของประชาชนทั่วไปที่รู้เรื่องนี้แล้วคงรู้สึกเวทนาและคงไม่เห็นด้วยกับการกระทำของโรงพยาบาล อีกทั้งน่าจะเข้าข่ายที่ว่าหนี้ค่าแต่งศพไม่เหมาะสมที่จะมาใช้สิทธิยึดหน่วงดังที่ มาตรา242 บัญญัติว่า “สิทธิยึดหน่วงอันใด ถ้าไม่สมกับลักษณะที่เจ้าหนี้รับภาระในมูลหนี้ก็ดี ไม่สมกับคำสั่งอันลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนหรือให้ในเวลาที่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นก็ดี หรือเป็นการขัดกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ดี สิทธิยึดหน่วงเช่นนั้นท่านให้ถือว่าหามีไม่เลย”



สรุป

1.ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลที่บ่งชี้ชัดว่า ศพเป็นทรัพย์สินหรือไม่

2.โรงพยาบาลใช้สิทธิยึดหน่วงศพในกรณีที่ผู้ตายเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ เพราะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในขณะที่ผู้นั้นยังเป็นคนอยู่

3.กรณีที่โรงพยาบาลเป็นเจ้าหนี้ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกิดขึ้นหลังจากที่คนนั้นถึงแก่ความตายแล้ว เช่น หนี้ค่าตกแต่งศพ ก็ไม่สามารถยึดหน่วงศพได้เพราะเป็นการขัดความสงบเรียบร้อยของประชาชน




นพ.พิทูร ธรรมธรานนท์
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย
www.medlawstory.com
ให้คุณรู้กฎหมายการแพทย์ได้ง่ายขึ้น


--------------------------------------------------------------------------------
email : thaimedlaw@yahoo.com

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

.

                       

คำที่ห้ามใช้ในการโฆษณา

.

แพทย์ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับความคุ้มครอง

บทความนี้เป็นบทความที่สืบเนื่องจากบทความเรื่อง แพทย์กับ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ขอให้ผู้อ่านได้อ่านบทความเรื่องดังกล่าวก่อน สำหรับเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นผลมาจากมาตราที่ 5และ 6 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งมีใจความดังนี้

            มาตรา5 หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้
           

มาตรา6 ถ้าการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้

จากมาตราดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าในกรณีที่แพทย์ที่อยู่ในหน่วยงานของรัฐปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยแล้วหากเป็นการทำละเมิดต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยก็ไม่สามารถฟ้องแพทย์ให้รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง หากจะฟ้องต้องฟ้องหน่วยงานที่แพทย์ผู้นั้นสังกัดอยู่
แต่ในทางปฏิบัติ มาตรา5 ดังกล่าวมีเงื่อนไขในการคุ้มครองแพทย์ที่เราควรทราบดังนี้
1.แพทย์ผู้นั้นจะต้องเป็น เจ้าหน้าที่ ซึ่งใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ให้นิยามไว้ว่า หมายถึงข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานประเภทอื่นไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งในฐานะเป็นกรรมการหรือในฐานะอื่นใด จากความหมายข้างต้น แพทย์ที่เป็นข้าราชการก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ ดังนั้นหากกระทำตามหน้าที่แล้วก็ย่อมได้รับความคุ้มครอง
2.มีการกระทำละเมิดโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลักเกณฑ์ของการกระทำละเมิดต้องยึดถือตามของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420  ดังต่อไปนี้
             - ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
             - กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย
             - บุคคลอื่นได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างใด
                อย่าง หนึ่ง
              - มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำ
หมายเหตุ : สามารถอ่านรายละเอียดเรื่องนี้ได้ในบทความเรื่อง หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามป...มาตรา420” (code 019)
3.เป็นการทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ เงื่อนไขในข้อนี้มีความสำคัญอย่างมากเพราะหากการกระทำที่เป็นละเมิดนั้นไม่ได้ทำในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้เสียหายก็สามารถฟ้องให้แพทย์ใช้สินไหมทดแทนได้โดยตรง ปัญหาจึงมีอยู่ว่าการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่มีขอบเขตครอบคลุมแค่ไหน ในเรื่องนี้ได้มีแนวคำพิพากษาฎีกาวางหลักไว้ว่า การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้จำกัดเฉพาะกรณีที่กระทำตามอำนาจหน้าที่ของตนในระหว่างเวลาทำการของตนเท่านั้นแต่กินความถึงกรณีที่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาเพื่อประโยชน์ของราชการแม้ว่าจะไม่ได้มีหน้าที่เฉพาะในเรื่องนั้นและแม้ว่าจะทำหน้าที่ดังกล่าวนอกเวลาราชการ  เพื่อให้ผู้อ่านเข้าในง่ายขึ้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาดังนี้
ฎีกาที่1811-1812/2516 เรื่องมีอยู่ว่านายทหารผู้หนึ่ง ปกติไม่มีหน้าที่ขับรถแต่วันหนึ่งได้ถูกผู้บังคับบัญชาใช้ให้เอารถยนต์ที่ใช้ในกิจการทหารไปล้างที่ปั๊มน้ำมันเมื่อล้างรถเสร็จระหว่างขับรถกลับได้ขับรถแวะไปเอาของที่บ้านพี่สาวของตน ระหว่างทางนั้นได้ขับรถไปชนรถบรรทุกนักเรียนจนมีผู้เสียชีวิต ในเรื่องนี้ศาลได้วินิจฉัยว่าแม้จำเลยไม่ได้มีหน้าที่ขับรถ แต่การนำรถไปล้างโดยคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ดังกล่าวถือว่าเป็นการทำในกิจการทหาร .......
ข้อสังเกต แม้ฎีกาข้างต้นจะไม่ได้วินิจฉัยไว้โดยตรงว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เพราะขณะนั้นยังไม่ได้มี พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539ออกมาใช้บังคับแต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าศาลมีแนวคิดว่า แม้เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีหน้าที่นั้นโดยตรง  แต่หากได้กระทำไปโดยคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐ ก็ถือว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว
กรณีอื่นๆที่ถือว่าเป็นการทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ เช่น บุรุษไปรษณีย์ขับรถไปส่งจดหมายแล้วชนคนอื่นโดยประมาทเลินเล่อ  พนักงานสอบสวนทำร้ายผู้ต้องหาเพื่อให้รับสารภาพ   ตำรวจเห็นคนจอดรถยนต์บนทางเท้าจึงขอดูใบขับขี่ ตำรวจคนดังกล่าวแย่งปืนและทำร้ายเจ้าของรถ ถือว่าทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่
สำหรับกรณีที่แพทย์ทำหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยแล้วเกิดทำละเมิดต่อผู้ป่วยนั้น มีข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่าถือเป็นการกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
กรณีตัวอย่างที่ถือว่าไม่ใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ เช่นจำเลยเป็นบุรุษไปรษณีย์จอดรถเก็บจดหมายตามตู้ไปรษณีย์ ตำรวจจราจรสั่งให้จอดรถให้ถูกที่ จำเลยด่าและทำร้ายร่างกายตำรวจ การด่าและขัดขวางการจับกุมเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับกรมไปรษณีย์ กรมไปรษณีย์ไม่ต้องรับผิด  กรณีที่แพทย์ตรวจรักษาผู้ป่วยแล้วเกิดไปทำร้ายร่างกายผู้ป่วย เช่น ชกต่อยหรือทำการข่มขืนผู้ป่วย ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่
ปัญหาน่าคิด
            ถาม: กรณีแพทย์ที่ไม่ใช่แพทย์ที่อยู่ประจำในรพ.มารับตรวจผู้ป่วยหรืออยู่เวรในลักษณะ part-time เองโดยไม่ใช่การส่งตัวมาช่วยราชการ หากแพทย์คนดังกล่าวทำการตรวจรักษาแล้วเกิดทำละเมิดต่อผู้ป่วย ผู้เสียหายต้องฟ้องแพทย์หรือฟ้องหน่วยงานของรัฐ
            ตอบ: ปัญหาที่ต้องพิจารณาคือกรณีดังกล่าวถือว่าแพทย์ผู้นั้นเป็น เจ้าหน้าที่ ตามนิยามของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หรือไม่  กรณีดังกล่าวยังไม่เคยมีการวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้ แต่ก็มีกรณีที่อาจจะพอเทียบเคียงกันได้ ดังนี้ เคยมีปัญหาว่าลูกจ้างที่รับงานเป็นครั้งคราวของ ร.ส.พ.ตามสัญญาจ้างแรงงาน ถือเป็นเจ้าหน้าที่ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หรือไม่ จึงมีการส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ลูกจ้างเข้าข่ายเป็น เจ้าหน้าที่ ต้องได้รับการบรรจุแต่งตั้งให้ปฏิบัติงานเป็นประจำต่อเนื่องมีการกำหนดอัตราเงินเดือน การเลื่อนขั้นเงินเดือน การลงโทษทางวินัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ แต่ลูกจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ว่าจ้างให้ปฏิบัติงานในลักษณะเป็นครั้งคราวเฉพาะงาน ไม่ว่าจะมีสัญญาจ้างหรือไม่ก็ตาม ไม่ได้มีการบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงาน ลูกจ้างดังกล่าวไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หากทำงานตามที่จ้างแล้วเกิดทำละเมิด ความรับผิดก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลงสัญญาจ้างและต้องนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับ ( ข้อสังเกต: ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ถือว่าเป็นคำวินิจฉัยของศาล จึงไม่ผูกมัดว่าศาลจะต้องเห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าว เพราะฉะนั้นหากกรณีดังกล่าวมีข้อพิพาทกันถึงชั้นศาล ศาลก็อาจมีความเห็นแตกต่างจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้ แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าที่ศาลจะมีความเห็นตรงกันกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา)
กรณีตามปัญหาผู้เขียนเห็นว่าแพทย์ที่รับงานในลักษณะ part-timeในรพ.ของรัฐ ไม่น่าจะถือเป็นเจ้าหน้าที่ แพทย์คนดังกล่าวจึงไม่ถูกคุ้มครองตามมาตรา5 ของพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ดังนั้นหากทำละเมิดต่อผู้ป่วย ผู้ป่วยก็สามารถฟ้องให้แพทย์ผู้นั้นใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง และฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้ (อ่านมาตรา6ประกอบ)
ถาม: แพทย์ที่ไม่ได้ถูกบรรจุเป็นข้าราชการแต่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็น พนักงานของรัฐ จะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา5 ของพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539หรือไม่
ตอบ: แม้ไม่ได้มีฐานะเป็นข้าราชการแต่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งไม่ว่าจะในฐานะ พนักงานของรัฐ หรือลูกจ้าง ซึ่งปฏิบัติงานเป็นประจำและต่อเนื่อง มีอัตราเงินเดือน ขั้นเงินเดือน มีการลงโทษทางวินัยหากทำผิด ก็น่าจะเข้าข่ายเป็น เจ้าหน้าที่ ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 แล้วซึ่งหากกระทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่ ผู้เสียหายไม่สามารถฟ้องแพทย์ให้ใช้ค่าสินไหมได้ ต้องเรียกร้องจากหน่วยงานรัฐแทน
สรุป
กรณีที่แพทย์ซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐได้ทำการปฏิบัติหน้าที่โดยทำการตรวจรักษาผู้ป่วย หากเกิดความเสียหายต่อผู้ป่วยซึ่งเป็นผลมาจากการตรวจรักษา ผู้เสียหายไม่สามารถฟ้องให้แพทย์รับผิดชอบใช้ค่าสินไหมทดแทนได้โดยตรง ถ้าจะฟ้องต้องฟ้องหน่วยงานของรัฐที่แพทย์ผู้นั้นสังกัดอยู่ หากผู้เสียหายฟ้องแพทย์โดยตรง แพทย์ก็สามารถยกมาตรา5 ขึ้นตัดฟ้องและขอให้ศาลยกฟ้องได้ แต่หากแพทย์ผู้นั้นไม่ได้ทำในการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ เขาก็ต้องรับผิดในผลจากการที่ตนทำละเมิดเป็นการส่วนตัว ผู้เสียหายฟ้องแพทย์ให้รับผิดได้โดยตรงแต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้
อนึ่งกฎหมายดังกล่าวไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายในการฟ้องแพทย์เป็นจำเลยในคดีอาญา หรือใช้สิทธิในการร้องเรียนต่อแพทยสภา


นพ.พิทูร ธรรมธรานนท์
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย
www.medlawstory.com

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

“Euthanasia”คืออะไร?

            คำว่า“Euthanasia”มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำคือ “eu” ซึ่งแปลว่า good และ “thanatos” ซึ่งแปลว่า death เมื่อรวม2 คำนี้เข้าด้วยกันเป็น good death  มีผู้แปลเป็นไทยว่า การตายอย่างสงบหรือ การตายโดยสงบโดยจะใช้เฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีความหวังในการรักษาและอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต (terminally ill)
            Euthanasia นี้มีการใช้ผสมกับคำอื่นๆอีกเกิดเป็นคำขึ้นหลายคำเช่น active euthanasia , passive euthanasia  โดยมีผู้ให้คำจำกัดความแตกต่างกันอยู่บ้าง  ในที่นี้ผู้เขียนขอให้คำจำกัดความตามที่ได้รับการยอมรับเป็นส่วนใหญ่ดังนี้
            “Active euthanasia” หรือ “mercy  killing” หมายถึง  การกระทำต่อเนื้อตัวผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต โดยมีเจตนาให้ผู้ป่วยถึงแก่ความตาย เช่น การฉีดยาเกินขนาด  การฉีดยาพิษ  การถอดเครื่องช่วยหายใจ เป็นต้น
            “Passive euthanasia” หมายถึง  no further measure  คือการปล่อยให้ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิตตายโดยไม่มีการกระทำต่อเนื้อตัวของผู้ป่วย ไม่มีการใช้เครื่องมือหรือยาเพื่อยืดการตายของผู้ป่วยออกไป เช่นการไม่ทำ CPR , การไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ
“voluntary euthanasia” หมายถึงการทำให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบตามความประสงค์ของผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดีอยู่( competent patient )โดยผู้ป่วยอาจแสดงเจตนาดังกล่าวนี้ไว้ล่วงหน้าก็ได้แม้ต่อมาจะอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถแสดงแสดงเจตนาได้(การแสดงเจตนาในกรณีหลังนี้เรียกว่า advance directive)
            “involuntary euthanasia” หมายถึงการทำให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบโดยขัดต่อความประสงค์ของผู้ป่วย( ผู้ป่วยอยากให้แพทย์ทำการยืดชีวิตของเขาต่อไปอีก)
            “non-voluntary euthanasia” หมายถึงการทำให้ผู้ป่วยที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ(incompetent patient ) ตายอย่างสงบโดยผู้ป่วยไม่เคยได้แสดงความประสงค์ในเรื่องนี้ไว้ก่อนเลย
นพ.พิทูร ธรรมธรานนท์
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย
www.medlawstory.com

เวชระเบียน

บังคับให้ผู้หญิงใช้นามสกุลสามีได้หรือ?

            บทความนี้เป็นเรื่องความเสมอภาคของความเป็นชายและหญิง ซึ่งได้บัญญัติไว้ใน รัฐธรรมนูญ มาตรา30 ต้องขอออกตัวว่าที่จริงผู้เขียนมีความรู้เรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่มากนัก แต่บังเอิญได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นว่าน่าสนใจ จึงหาความรู้เรื่องนี้เพิ่มเติมแล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง

อะไรคือ หลักความเสมอภาค
            หลักความเสมอภาค คือ การที่จะต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญที่เหมือนกันอย่างเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น ในการสอบเข้าเรียนชั้นประถม สาระสำคัญคือ ตัวเด็กที่สอบเข้าเรียนไม่ว่าหญิงหรือชายที่มีอายุ 6ปีซึ่งต้องถือว่ามีสาระสำคัญที่เหมือนกัน ดังนั้นในการสอบก็ต้องมีการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันเช่น ต้องสอบวิชาเดียวกัน ข้อสอบเดียวกัน เวลาทำข้อสอบเท่ากัน แต่หากมีการเพิ่มคะแนนพิเศษเพราะว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรของที่บริจาคเงินให้โรงเรียน ก็ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญที่เหมือนกันอย่างไม่เท่าเทียมกัน
            อาจมีผู้สงสัยว่า แล้วอะไรเล่าที่จะถือว่า เป็น สาระสำคัญที่แตกต่างกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ คนมีรายได้น้อย กับคนที่มีรายได้มากนั้นถือว่ามีสาระสำคัญต่างกันในแง่ของการเสียภาษี หลักการมีว่า เมื่อสาระสำคัญมีความแตกต่างกัน ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นจึงสามารถกำหนดให้คนที่มีรายได้มากเสียภาษีมากกว่าคนที่มีรายได้น้อยได้
ในเรื่อง ความเสมอภาคของชายและหญิง รัฐธรรมนูญ มาตรา 30 วรรคสอง บัญญัติว่า ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันหมายความว่า ถ้าลำพังข้อเท็จจริงมีเพียงว่า ฝ่ายหนึ่งเป็นชาย อีกฝ่ายหนึ่งเป็นหญิง ไม่ถือว่ามีความแตกต่างในสาระสำคัญ ตัวอย่างเช่น ชายและหญิงต่างเป็นพนักงานของธนาคารของรัฐ และต่างก็มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อเหมือนกัน ธนาคารจะมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเกษียณว่าให้พนักงานชายเกษียณที่อายุ 60 ปี แต่ให้พนักงานหญิงเกษียณเมื่ออายุ  55 ปี ไม่ได้  แต่ถ้าหากเรื่องนั้นมีเหตุผลทางกายภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็อาจถือว่ามีความแตกต่างกันในสาระสำคัญได้ เช่นการเป็นทหารในหน่วยรบนั้นต้องการความแข็งแกร่งของร่างกาย ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่จะกำหนดให้เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่เป็นทหารในหน่วยรบได้

การบังคับให้หญิงใช้นามสกุลของสามีนั้น ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่?
เนื่องจาก พ.ร.บ. ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มาตรา12 บังคับให้หญิงที่มีสามี (มีการจดทะเบียนสมรสโดยถูกต้องตามกฎหมาย) ต้องใช้นามสกุลของสามี ทำให้มีผู้เห็นว่า บทบัญญัติในมาตราดังกล่าวนั้นขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 เพราะเป็นการลิดรอนสิทธิของหญิงทำให้หญิงมีสิทธิไม่เท่าเทียมกับชาย จึงได้มีการเสนอเรื่องไปยังผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และในที่สุดได้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่21/2546 ซึ่งผู้เขียนขอตัดตอนบางส่วนมาสรุปได้ดังนี้
1) ถ้อยคำในมาตรา12แห่ง พ.ร.บ. ชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 มีลักษณะเป็นการบังคับให้หญิงที่มีสามี ต้องใช้นามสกุลของสามี
2) สิทธิการใช้นามสกุล เป็นสิทธิของบุคคลที่จะแสดงเผ่าพันธุ์ เทือกเถาเหล่ากอของตน และเป็นสิทธิที่ทุกคนมีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน โดยมิได้มีการแบ่งแยกว่าเป็นสิทธิของชายหรือหญิง
3) การบังคับให้หญิงที่มีสามี ต้องใช้นามสกุลของสามีนั้น ถือเป็นการลิดรอนสิทธิการใช้นามสกุลของหญิงนั้น ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันและความไม่เสมอภาคกัน ซึ่งขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 ดังนั้นบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจึงใช้บังคับไม่ได้ .

 
นพ.พิทูร ธรรมธรานนท์
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย
www.medlawstory.com

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ภาพของท่าน สวยงามและสื่อความหมายได้ชัดเจน เราขออนุญาตนำภาพของท่านมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมนะคะ หากขัดข้องประการใด รบกวนโทร 089-1326770